หลังจากไปรับบัตรเข้าออฟฟิสแล้วเค้าก็ให้แนะนำตัวกับคนทั้งแผนก เขินมากไม่รู้จะพูดอะไร พูดก็ไม่เก่งอีกตังหาก มารู้เอาทีหลังว่าเป็นวัฒนธรรมของเค้าอ่ะ มีใครมาก็ต้องแนะนำตัว พอจะจากไปก็ต้องพูดอำลาต่อหน้าคนหมู่มาก วันแรกก็ไม่ได้ทำอะไรเท่าไหร่ เค้าก็พาไปแนะนำกับคนนั้น คนนี้ พาไปทัวร์ tester floorแล้วก็ถึงเวลาเที่ยง คุราฟูจิซัง director พาไปกินที่ร้านเทมปุระตรงใต้ตึก Hyatt ที่เค้าถ่าย Lost in Translation แล้วเค้าก็แนะนำให้รู้จักกับผู้หญิงปีนังที่มาเทรนที่นี่เหมือนกัน ชื่อ Siew-Lan หน้าตาน่ารัก อายุมากกว่าเราปีนึง ผ่านไปถึงตอนเย็นเค้าก็พาไปเลี้ยงอีกรอบนึงที่เดิมแต่เปลี่ยนเป็นร้านอาหารจีน ทำให้เห็นสัจธรรมว่าคนญี่ปุ่นดื่มเบียร์ยังกับน้ำอ่ะ ผ่านไปไม่ถึง 10 นาทีเลยเบียร์หมดเป็นเหยือกๆ อุ้ จะรีบไปไหนกัน.... ที่เห็นอีกอย่างคือทุกคนที่ทำงานอ่ะ อายุ 30 up กันทั้งนั้นเลย เด็กสุดคือ 30 พอเค้ารู้อายุเรานี่ตกใจทันที ตอนที่อยู่นั่นพึ่ง 23 เอง ทุกคนพูดอยู่ประโยคเดียว too young..too young...ก็ฮาดี..หลังจากเลิกก็กลับเข้าโรงแรมแล้วก็ไปเดินตระเวนเล่น UFO catcher ได้น้องตุ๊กตาหมีพูห์มาแบบโคตรฟลุ้กเลย มารู้ทีหลังตอนไป Disney Land ว่าคนญี่ปุ่นเรียกหมีพูห์ว่า พูห์ซัง เย้... ดีใจ ดีใจ
15 กันยายน 2004
วันนี้ตอนเย็นมี welcome party ให้เรา เซี๊ยะแล้วก็พี่วัฒน์ ฮิกิดะซังบอกว่านี่เป็น party ที่ใหญ่ที่สุดเพราะรวมคนจาก EBU(ฝั่งเรากับพี่วัฒน์) และ WBU(ฝั่งเซี๊ยะ) เอาไว้ด้วยกันเป็นร้านเนื้อย่างสไตล์เกาหลีอยู่แถวๆคาบุกิโจ สิ่งที่เราเห็นวันนี้เป็นการยืนยันสมมติฐานจากเมื่อวานเกี่ยวกับการดื่มเบียร์ของคนญี่ปุ่น วันนี้เอาอีกแล้วอ่ะ แค่ 10 นาทีหมดไปหลายพิชเลย แถมยังถูกรมตัวด้วยควันบุหรี่อันคละคลุ้งอีกตังหาก เอาน่าถือว่าเป็นควันเนื้อย่างก็ละกัน วันนี้เราขอไม่ดื่มเบียร์ ขอเป็น sweet alcohol แทนอร่อยดีอ่ะ (คำแนะนของฮอนโจซัง) พวกคัทซึออเรนท์ คัทซึเกรปฟรุ้ต ไม่รู้ว่าตัวหลักทำจากอะไร แต่ซัดไปหลายแก้วเหมือนกัน แปลกดี ไม่เคยเห็นที่เมืองไทย กับข้าวก็มีเนื้อย่าง มีกิมจิ มีข้าวผัด ประมาณนี้อ่ะ แต่ไม่อิ่มเลย -"- ดูเหมือนว่าคนส่วนใหญ่เค้ามาเพื่อดื่มอะ ไม่ได้มาเพื่อกินข้าวเย็น ....แง่ม แง่ม หิวโว้ย....ประมาณสองทุ่มกว่าๆงานเลี้ยงก็เลิก ผู้คนกกลุ่มนึงก็กลับบ้านกันไป ส่วนเราฟูจิตะซังซึ่งเป็น manager ได้ชักชวนให้เหล่ากะเหรี่ยงอย่างเราๆไปต่อที่ second party ตอนแรกก็งง งง ว่าเป็นยังไง อันที่จริงแล้วก็คือหาร้านดื่มเหล้าต่อ เท่าที่กินมานี่ยังไม่พออีกหรือค๊า สรุปก็ไปต่อกันจนได้ แต่แปลกดีดูดื่มไม่ดุเท่ากับก่อนหน้า สงสัยจะกึ่มกันแล้วละมั้ง เราก็ซัดแต่ถั่วเมนมะ อร่อยดี กับจินเจอร์ เอล...แต่คราวนี้ไม่ไหวว่ะ ฮิกิดะซังกับอิวาโนะซังพ่นควันเข้าหน้าเต็มๆ โอ้วววนึกในใจ ชั้นเกลียดบุหรี่แกรู้ไม๊... แต่ก็ต้องทำหน้าตาว่าเหมือนไม่มีไรเกิดขึ้น ฮึ่ม ฮึ่ม....ในที่สุด 4 ทุ่มกว่าก็มาถึงทุกคนต้องรีบเดินทางกลับบ้านเพราะเดี๋ยวไม่ทันรถไฟเที่ยวสุดท้าย แต่ละคนบ้านอยู่กันไกลโคตร อย่างต่ำชั่วโมงนึงบนรถไฟอ่ะ ขอย้ำอย่างต่ำ แถมยังต่อรถไฟอีกหลายทอด อย่างบายาร์ซังบ้านอยู่ไกลปู้น ไซตามะอ่ะ ต้องต่อรถไฟ 3 ทีอ่ะ มารู้ทีหลังว่าเค้าตกรถไฟต้องนั่งแท็กซี่กลับบ้านหมดไปเป็นหมื่นเยน....ของเราด้วยความว่าทุกคนกลัวกลับโรงแรมไม่ถูกหรือว่ายังไงก็ไม่รู้ อิวาโนะซังกับคาวาคามิซังเลยเดินมาส่งที่โรงแรม ส่วน Shally กลับมาด้วยเพราะลืมกระเป๋าตังค์ไว้ที่ออฟฟิส คาวาคามิซังเมาอย่างแรงอ่ะ เดินไม่ตรงทางเลยอ่ะ....
ส่วนตอนกลางวัน Siew-Lan พาเราไปแนะนำกับกลุ่ม Lunch girls ด้วย ที่นี่เค้าแยกกันกินข้าวระหว่าง ญ กับ ช อ่ะ ไม่ค่อยเห็นใครไปด้วยกันเท่าไหร่ ใน Lunch girls เนี่ยก็จะมีมาจากเกือบทุกแผนกที่เป็นประมาณ engineering department ไม่นับพวก marketing กับ admin นะเพราะวันๆไม่เคยเจอกันอยู่แล้ว ทั้งกลุ่มมีกันอยู่ 10 กว่าคน ยึดเอาโต๊ะข้างตู้กดน้ำเป็นที่สิงสถิตย์ ส่วนอาหารบางคนก็ทำกันมาเอง บางคนก็ไปซื้อจากคุณป้าหน้าลิฟท์ ส่วนเราเหรอแน่นอน ทำกับข้าวไม่เป็นเลยก็ต้องอาศัยพวกคอนวีนี่กับซุปเปอร์ราคาถูกด้านหลังบริษัทเอาไว้ประทังชีวิต
ที่นี่ทั้ง EBU กับ WBU ก็มีผู้หญิงอย่างละคนเองอ่ะ น้อยชะมัดคิดเป็นประมาณ 5%เอง เทียบกับแผนกเราที่เมืองไทยนี่ไม่ติดฝุ่น มีผู้หญิงเกือบ 40% ได้...
16 กันยายน 2004
คาดว่าคาวาคามิซังเมาค้าง และคงตื่นไม่ไหวอ่ะ
เลยหายหน้าไปตอนเช้า โผล่มาอีกทีก็บ่ายเลย....
ตกเย็นแกงค์สามช่าก็ได้เวลาออกตามล่าหาร้านราเมนที่พี่หนิงแนะนำมา โดยมีนามบัตรของร้านที่เป็นภาษาญี่ปุ่นทั้งหมด และเราสามคนไม่มีใครเข้าใจภาษาญี่ปุ่นเลยแม้แต่นิดเดียว จะหาเจอไหมน๊ออออ ขนาดว่าเซี๊ยะเพื่อนรักได้ทำการถามไถ่ทิศทางมาจากพวกที่ออฟฟิสแล้ว แต่ก็ยังหาไม่เจออยู่ดี เดินวนอยู่แถวฝั่งยาสุคุนิโดริประมาณ 5 รอบเป็นอย่างต่ำ ในที่สุดก็ทนไม่ไหว ต้องหาใครซักคนมาบอกทางแล้ว ตอนแรกก็เดินปราดเข้าไปพร้อมกับกล่าวคำว่า "Excuse me" พอทุกคนได้ยินประโยคนี้ก็ทำหน้าตาหวาดกลัวและเดินหนีทันที เป็นไรกานนน ไม่กัดหรอกน่า ทีนี้เลยมามุขใหม่เดินเข้าไปหาเหยื่อแล้วก็ Sumimasen ก่อนทีนี้แหละเหยื่อจะหนีไม่รอดเพราะหันมาสนใจเราแล้ว 5555 แผนเด็ด และแล้วก็ถึงบางอ้อว่ามาผิดฝั่งของสถานีชินจูกุ แค่เพียงคุณข้ามถนนเส้นที่ยืนไป เลี้ยวนิดหน่อย คุณก็จะเจอร้านราเมนสุดอร่อยทันที.......
ปัญหาถัดไปคือมันเป็นตู้กดที่มีแต่เมนูภาษาญี่ปุ่นอ่ะ แถมเป็นคันจิอีกตังหาก เอาแล้วสิตู ในทีสุดคุณคนจัดคิวคงทนไม่ไหว เอ๊า เอาไปเมนูภาษาอังกฤษ โหย เพ่กั๊กไว้ทำไมอ่ะ ให้ยืนงงกันตั้งนาน ในเมนูเค้ามีให้เลือกเครื่องว่าจะใส่อะไรบ้าง เท่าที่จำได้มี เมนมะ, ไข่ต้ม, ต้มหอม, สาหร่าย, กระเทียม, กระเทียมเจียว กรอบๆ แล้วก็หมูคล้ายๆสามชั้นอะ เราสามารถเลือกจำนวนอย่างได้ เท่าราคาที่เลือกอ่ะ ไม่แน่ใจชื่อร้านอ่ะ อ่านไม่ออก ตามเวบล่ะกันฮะ http://www.kouryu.org
ไปที่ไรก็กินเมนูนี้ทุกที 自分仕立てラーメン ¥750
แอบดูคนที่นั่งข้างๆเค้าดูดซ้วบ ดูดซ้วบเลยเอาบ้าง มันช่วยได้จริงๆแฮะ กินง่ายขึ้นแล้วก็ไม่ลวกลิ้นด้วย คนญี่ปุ่นนี่กินเก่งจังเลยอ่ะ เรากินชามนี้นี่แทบกระอัก แต่เค้ากินกันหมดอย่างรวดเร็ว แถมเพิ่มราเมนปล่าวๆ กับข้าวอีกอย่างละ 1 ชาม อู้ว นับถือ นับถือ .....หลังจากกินเสร็จก็ไปเล่นเกมส์ตีกลองกับ UFO Catcher อย่างบ้าคลั่ง เห็นคนอื่นเค้าเล่นเกมส์ตีกลองแล้ว เราต้องไปแอบๆตีเอา อายเค้า มีคนนึงตีคนเดียว 2 กลองอ่ะ มันทำได้ไงอ่ะ เก่งโคตรร
17 กันยายน 2004
เย้ๆๆ ในที่สุดก็วันศุกร์ซะที ได้เวลาวางแผนไปเที่ยวเสาร์-อาทิตย์-จันทร์ซะที วันจันทร์เป็นวันหยุดเนี่องในโอกาส "Respect for the aged day" ไม่รู้เหมือนกันแฮะว่าเป็นวันอะไร (><)" วันนี้พี่พีทมาจาก Aizu เพื่อจะไปเที่ยวด้วยกัน อีกไม่นานพี่พีทก็จะย้ายไปเมกาเป็นการถาวรแล้ว พี่เค้าจะมาพักด้วยที่โรงแรม ยังดีนะที่พี่พีทตัวเล็กไม่ง้านแย่แน่เลย -"-
นัดเจอกับยุ่นที่โรงแรมก่อน แล้วค่อยไปหาพี่พีทที่สถานีชินจูกุ วันนี้ 5 โมงครึ่งเด้งทันที ไม่สนแล้วว่าจะมีอะไรค้างอยู่อ๊ะป่าว เสียใจด้วยประชาชน หลังจากครบทีมเลยไปกินมื้อเย็น ไคเตนซูชิที่ชิบูย่า เค้าบังคับให้กินคนละ 7 จานเป็นอย่างต่ำ ทุกคนกินกันอย่างเอร็ดอร่อย มีพี่วัฒน์คนเดียวที่ค่อนข้างระทมทุกข์ เค้าไม่ค่อยชอบกินปลาดิบเท่าไหร่ กินได้แต่ไข่หวาน กินแค่ 4 จานก็สุดทน เราเลยต้องรับผิดชอบอีก 3 จานที่ขาดไปของพี่วัฒน์ โอ้ยยยย อิ่มสุดๆ แล้วไปนั่งดูคน พร้อมกับจิบกาแฟที่ starbucks ... ที่สาขานี้คนเยอะมาก เค้าเลยไม่มี size ให้เลือก มี size เดียวคือ tall อ่ะ แถมที่ญี่ปุ่นไม่มี decaf อีกตังหาก ว้าแย่จัง กว่าจะได้ที่นั่งต้องเข้าแถวรออยู่แป๊ปนึง ได้ที่วิวดีมาก เห็นสาวๆหน้าตาน่ารักๆเต็มไปโม้ดดด แถมยังเห็นคลื่นมหาชนที่แยกข้างล่างด้วย ตอนเห็นไฟเขียวไฟแดงนี้ครั้งแรก ตกใจเลย คนมาจากไหนก็ไม่รู้อ่ะ เดินตัดกันไปตัดกันมา โหยยยย สุดยอด จากนั้นก็กลับไปโรงแรมเตรียมตัวตื่นแต่เช้าพรุ่งนี้เพื่อไปซึกิจิอ่ะ
18 กันยายน 2004
ตื่นตั้งแต่ไก่โห่ ตี4กว่าเพื่อไปให้ทันรถไฟเที่ยวแรกไปตลาดปลาซึกิจิ ไปถึงตี5กว่า ใกล้ๆ 6โมง ยังดีไปทันดูตอนเค้าประมูล Maguro พอดี.. ดูแปลกดีเหมือนกัน คนที่ทำหน้าที่ดำเนินการประมูลเค้าร้องเป็นจังหวะ เป็นเพลง แต่ละคนจะมีจังหวะที่ต่างกันไป บางคนมีขยับตัวด้วยอ่ะ เจ๋งดี แถมปลาก็ตัวใหญ่มากกก บางตัวนี่ทั้งอ้วนทั้งยาวเลย ดูเด่ะ
หลังจากนั้นก็ไปกินซูชิที่ร้านแถวตลาด ยุ่นแนะนำ ผ่านร้านที่ขายปลาโอแห้งด้วย มันไม่เหมือนปลาเลย เหมือนก้อนหินมากกว่าอ่ะ ไม่รู้เค้าทำไงถึงทำให้ปลากลายเป็นหิน อุอุ ซูชิอร่อยมากกกก กินแล้วข้าวละลายในปาก เนื้อปลาสดจริง หวานอร่อย อู้วววว ได้ลองกินปลาดิบสดๆอ่ะ เค้าล้วงปลาออกมาจากอ่างแล้วก็จัดการเอาผ้ามาปิดตาปลา แล้วก็แล่ให้เห็นต่อหน้าต่อตา ตอนเค้าเอาจานมาวางครีบมันยังดึ๊บๆ อยู่เลย มันดูโหดและทารุณมาก แต่อร่อยสุดๆ ตอนกินเหมือนมันยังดิ้นในปากอยู่เลย มื้อนี้แสนอร่อย
จากนั้นก็เคลื่อนพลไปโอไดบะโดยยูริกาโมเมะ ถึงโอไดบะตอน 8 โมงเช้า โอ้วว ไม่มีคนเลย แถมไม่มีอะไรเปิดเลยด้วย ทั้ง Fuji TV ทั้ง AQUA City เลยเดินไปถ่ายรูปกับ rainbow bridge กับคุณเทพีเสรีภาพย่อส่วน เค้าว่ากันว่าเทพีอันนี้หันหน้าไปจ๊ะเอ๋กับคุณที่นิวยอร์กพอดิบพอดี มีคนแอบนั่งสวีทกันด้วย อิจฉา (><) เนื่องจากไม่มีอะไรเปิดเลยว่าจะนั่งเรือเมล์ไปอาซากุสะ เรือยังไม่เปิดอีก เปิดตอน 10 โมง เลยเตร็ดเตร่อีกแป๊ปแล้วก็กลับไปกินกาแฟที่สถานีชิมบาฉิ แล้วค่อยไปอาซากุสะกัน ไปถึงทันเวลาดูนาฬิกาตรงหน้าวัดพอดี ได้มุมดีเสียด้วย บรรยากาศในวัดเหมือนกับ 12 ปีที่แล้วเลยอ่ะ ยกเว้นก็แค่หลังคาที่มันทำใหม่ให้เปิด ปิดได้ ระหว่างทางเข้าวัดนี่ซัดเรียบทุกอย่างที่ขวางหน้า เซมเบ้เอย ขนมทอดๆที่เป็นงาเอย ชาเขียวเอย ดังโหงะเอย Enjoy Eating จริงๆเลยเรา หลังจากไหว้พระแล้วก็เดินวนๆแถวนั้นพักนึง เลยตัดสินใจไปอะคิฮาบารากัน พี่พีทขอแยกตัวไปก่อนเพราะมีนัดไปกินซ่ากับโยโกะ ไปถึงอะคิฮาบาราตื่นตาตื่นใจอีกแล้วอ่ะ ข้านขายเครื่องใช้ไฟฟ้าเรียงกันเป็นแถบ ตอนแรกเดินไปซื้อกล้องของเซี๊ยะก่อน ร้านมันซับซ้อนมากแต่ถูกจริง แล้วก็เดินวนๆดูของและเล่นเกมส์ตู้ ในที่สุดก็เหนื่อย ถึงเวลาหาอาหารกินต่อ... ยุ่นแนะนำ Jangara Ramen http://www.kyusyujangara.co.jp/ ราเมนสไตล์คิวชู รอคิวนานโคตรๆ เกือบชั่วโมง แต่อร่อยคุ้มค่าการรอคอยมาก เกิดเรื่องน่าอับอายขึ้นระหว่างรอคิวด้วยแหละ คือยืนรอคิวอยู่แล้วปวดท้องไง ก็บอกพวกมันไปว่า ปวดอึ มันก็เอาไปตะโกนล่อกันใหญ่เลยว่า ตุ๊กตาปวดอึๆ โดยไม่อายใคร สุดท้ายหลังจากกินราเมนเสร็จก็มีคนที่เดินเข้ามาในร้านแล้วถามเราว่า "ราเมนอร่อยไม๊ค่ะ" เฮือก อายมากกกกอ่ะ อายสุดๆเลย -_-'
หลังจากอับอายขายหน้าเป็นที่พอใจก็ได้เวลากลับถิ่น ชินจูกุ พวกผู้ชายจะกลับไปนอนที่โรงแรม เราเลยแยกตัวออกมาหาแจ๋เจินกับกอยุทธ พอดีว่าแจ๋เจินมาทำงานที่นี่อาทิตย์นึง นัดเจอกันที่ Tokyu Handsปัญหาใหญ่คือ เรายังงงทิศทางแถวนั้นอ่ะ เดินวนๆอยู่แถว Mycity กับ Lumine อยู่พักนึงก็ยังหา Takashimaya กับ Tokyu Hands ไม่เจอ เลยเดินเข้าไปหาเด็กสาวสไตล์ฮาราจูกุสองคนที่เราคิดว่าเค้าต้องรู้แน่ๆว่าอยู่ไหน พอเดินเข้าไปพูดภาษาอังกฤษปุ๊ปเค้าส่ายหัวแล้วเดินหนีทันทีเลย เออ...เศร้าเลย หมุนตัวอีก 2-3 รอบแล้วเอาใหม่ ทีนี้เป็นเด็กหนุ่มใส่แว่น เหมือนสวรรค์โปรด...เค้าสามารถชี้ทางสว่างให้ได้ เย้ๆๆๆๆ ในที่สุดก็หากันจนเจอ ตอนแรกวางแผนว่าจะไปกินข้าวเย็นด้วยกัน บังเอิญว่าหัวหน้าของแจ๋เจินโทรเข้ามือถือบอกว่าให้ไปกินข้าวเย็นด้วยกัน ก็แผนล่มสิค่ะ พอ 6 โมงเย็นต้องรีบไปสถานีชิมบาฉิอีกรอบ เพื่อส่งแจ๋เจินกลับโรงแรมให้ทันเวลา โหย เหนื่อยแสนสาหัส วิ่งๆๆๆ ในที่สุดก็ทันเวลา.. จากนั้นเรากับกอยุทธก็เลยไปเดินที่กินซ่า ดูของ หาข้าวเย็นกิน ตกลงกันไม่ได้เลยกินyoshinoya แทน ...แล้วก็กินเค้ก Fujiya ก่อนกลับโรงแรม คืนนี้พี่พีทนั่งรถไฟเที่ยวสุดท้ายกลับมาไม่ทันเลยพักที่อพาร์ทเมนต์ของ Adam Fogle ที่ รปปงงิ จบวันที่เหนื่อย แสนสาหัสไปได้อีกวันนึง
19 กันยายน 2004
วันนี้กว่าจะตื่นก็สายมาก ตอนแรกนึกว่าพี่เอกจะมาจากเมืองไทย สรุปเซี๊ยะจำผิดวัน จริงๆมาพรุ่งนี้แทน...เวรกำ ตอนบ่ายก็เลยไปตกลงว่าจะไปเที่ยวโยโกฮาม่ากัน ก่อนออกเดินทางซัดอาหารกลางวันเป็นราเมน (อีกแล้ว) ร้านนี้แนะนำโดยพี่พีทชื่อ Santouka http://www.santouka.co.jp/อร่อยอีกแล้วอ่ะ ต้องสั่ง ชิโอราเมนพร้อมไข่ต้ม จากนั้นถึงออกเดินทางไปโยโกฮาม่า กะว่าจะไปลงตรงสถานีใกล้ๆ China Town ปรากฎว่าลงรถไฟผิดสถานีอ่ะ ลงตรงสถานีโยโกฮาม่าเลย งง งง อยู่แป๊ปนึงเลยไปถามที่ Information Counter ว่าจะไปยังไงดี และไปเที่ยวไหนดี คุณที่ให้ข้อมูลเค้าพูดภาษาไทยได้ และได้ดีด้วยอ่ะ เก่งจัง หน้าตาน่ารักด้วย เค้าเลยแนะนำให้นั่งเรือไป เพื่อเปลี่ยนบรรยากาศ เราทั้งหมด 4 คนจึงพร้อมใจกันไปนั่งเรือ Sea Bass เพื่อไปตรงสวนสาธารณะที่มีเรือ Hikawa Maru จอดเทียบท่าอยู่ จากนั้นก็ไปเดินเล่น China Town ดูเค้าขายซาลาเปาลูกเท่าบ้าน มีร้านอาหารจีนเต็มไปหมด มีรูปรายการยุทธการกระทะเหล์กแปะอยู่ตั้งหลายร้าน แต่ก็ไม่ได้กินอะไร เพราะอิ่มอยู่ เดินวนๆ ซื้อกาแฟกันคนละแก้วแล้วก็ไปเดินที่เรือ Hikawa Maru เพื่อดูประวัติความเป็นมาของเรือ อยู่จนกระทั่งฟ้าเริ่มมืด เห็นมินาโตะมิไร อยู่ลิบๆ ก็พาซื่อคิดกันว่ามันคงไม่ไกลเท่าไหร่หรอก เดินไปสบายๆ ที่ไหนได้ แทบกระอักเลย เหนื่อยโคตรๆ ไปถึงสวนสนุก Cosmoworld เล่น UFO Catcher ได้ตุ๊กตามิกกี้มาตัวนึง เย้ๆๆๆ หาข้าวเย็นกินแล้วก็กลับ
20 กันยายน 2004 วันนี้พี่เอกแวะมาทรานซิทก่อนไปเมกา พี่พีทนำทัวร์ไปฮาราจูกุ ไปกินซูชิตรงร้านใกล้กับ Snoopy Town อร่อยดี แล้วก็เดิน Window Shopping แถว Omotesando แวะไปกินเครปที่ Takeshita แล้วก็กลับมาพาพี่เอกไป HMV ที่ Takashimaya ชินจูกุ ขากลับต้องรีบวิ่งอีกแล้ว เพราะกลัวพี่เอกตกรถลีมูซีนที่ซื้อตั๋วไว้ มาถึงนี่รถกำลังจะออกแล้วอ่ะ ยังดีที่มาทันหวุดหวิด จากนั้นส่งพี่พีทกลับ Aizu จากนั้นก็ไปเดินเล่นซื้อของใช้จำเป็นที่ Uniqlo กับ Muji ไปเดินเล่นที่ Tokyu hands, Isetan ห้างต่างๆแถวนั้น ที่พลาดไม่ได้ก็พวก Yodobashi, Bic และ Sakuraya จบสัปดาห์ที่ 1
No comments:
Post a Comment