Tuesday, January 24, 2006

東京 Part 3: Second week in Tokyo

21 Sep 2004
ในที่สุดก็ถึงเวลาต้องย้ายเข้า apartment ส่วนเซี๊ยะก็ต้องย้ายไปอยู่นาโงย่า ของเซี๊ยะเนี่ยไม่ต้องขนไรไปมากเพราะมีบริษัทรับส่งของขนไปให้ เดินตัวปลิวขึ้นชินกังเซ็นเลยนะมึง~
ส่วนเรากะพี่วัฒน์ก็ต้องอาศัย ยามาโนะเตะ สีเขียวๆ เนี่ยแหละ ด้วยความที่เรายังไม่รู้ทางกันเลย ฟูจิตะซังตอนแรกจะให้มัตซึโอะซังคนเดียวไปส่งเราสองคน พอคนอื่นๆรู้ก็บอกเราว่าโชคดีแล้วก็ขำๆกัน ไอ้เราเรอะก็งงว่าทำไมต้องขำฟระ ในที่สุดก็ถึงบางอ้อตอนนั่งรถไฟเพราะเค้าไม่พูดภาษาอังกฤษเลยซักคำเดียว ถามแล้วก็ทำหน้างง งง ตอบบ้างไม่ตอบบ้าง เวรกำ ยังดีที่สุดท้ายเค้าเปลี่ยนใจให้โคดามะซังมาส่งด้วย คนนี้นี่พูดอังกฤษปร๋อเชียว เพราะไปอยู่ KL มาหลายปี แต่คิดๆไปก็สงสารทั้งโคดามะซังกับมัตซึโอะซังเหมือนกัน เพราะช่วยกันหิ้วกระเป๋าเรากับพี่วัฒน์ขึ้นบันไดตรงสถานีรถไฟอ่ะ กระเป๋าก็หนักมาก บันไดก็สูงใช่ย่อย เค้าก็ดูร่างกายไม่ค่อยแข็งแรงเท่าไหร่ (เพราะสูบบุหรี่จัดอ่ะเด่ะ -_-") ขอโทดนะก๊าบบบ ก่อนขึ้นรถเค้าก็สอนวิธีซื้อตั๋วเดือนให้ จะได้ประหยัดตังค์ ก็ซื้อจากสถานีชินจูกุ (新宿) ไปสถานีโอซากิ (大崎) แต่จริงๆแล้วเราสามารถลงได้ 2 สถานีอีกอันนึงคือตรงโกทันดะ (五反田) เพราะว่า apartment อยู่ตรงกลางระหว่าง 2 สถานีพอดีเลย ระยะทางจากสถานีรถไฟถึงบ้านก็ประมาณ 10 นาทีได้ แต่ที่น่าดีใจคือปากซอยมี Starbucks คือเป็นโรคติดกาแฟสุดๆ
พอถึงที่เค้าก็พาไปดูห้อง ของเราห้อง 802 อยู่หน้าลิฟท์พอดี ส่วนพี่วัฒน์อยู่ 808 ตึกนี้มีทั้งหมด 9 ชั้น ชั้นละ 8 ห้องอ่ะ เราว่าดีนะดูไม่แออัดเท่าไหร่ดี ห้องใหญ่กว่าโรงแรมตั้งเยอะ มีครัวเล็กๆ มีตู้ซักผ้า ตู้อบผ้า ทีวี อินเทอร์เนต เครื่องเล่นซีดี ที่เป่าผม ที่ดูดฝุ่น ตู้เย็น ไมโครเวฟ เท่านี้ก็พอแล้ว เสียอย่างเดียวไม่มีหม้อหุงข้าวอ่ะ มีคนทำความสะอาด 2อาทิตย์ครั้ง ค่าเช่าเดือนละตั้ง 200,000 เยนแน่ะ แพงจัด โคดามะซังกับมัตซึโอะซังฟังแล้วตกใจเลย เราเองก็ตกใจเหมือนกันแหล่ะน่า
หลังจากเก็บกระเป๋าก็เดินออกมาส่งทั้ง 2 คนที่สถานีรถไฟพร้อมกับสำรวจทิศทางไปในคราวเดียวกัน ที่สถานีรถไฟมีห้างโตคิวเล็กๆอยู่ ก็ไปเดินสำรวจแล้วก็เลยตกลงใจว่าจะไปสถานีโอซากิกัน ลงจากโอซากิแล้วงงกันเล็กน้อย หาทางกลับไม่เจอ หลังจากงมอยู่พักใหญ่ก็เดินมั่วๆไป มีซุปเปอร์เล็กๆอยู่ใกล้ๆด้วย แถวนี้มีคอมบีนี่เพียบเลยทั้ง 7-11, Family Mart, AM PM แล้วก็มีทั้งร้านราเมน ร้านเทนย่า เนื้อย่าง ร้านเบนโตะ MOS Burger ด้วย ไม่อดตายแน่นอน สรุปมื้อเย็นก็กินเทนย่ากันเพราะพี่วัฒน์อยากกินเทมปุระ กลับมาดูทีวี ยังดีนะที่มีเคเบิลไม่งั้นตายแน่เลย :-)
รูปในและนอกอพาร์ตเมนท์ --เห็นไม๊อ่ะห้องน้ำซีทรู --เขิลล์

My apartment link: http://www.bureau.co.jp/en/b-site/osaki/index.html

23 Sep 2004

วันนี้เป็นวันหยุดฮะ ตามปฏิทินเค้าเรียกว่า Autumn Equinox Day เป็นวันที่กลางวันกับกลางคืนมี 12 ชั่วโมงเท่ากัน ไม่รู้ว่าจริงหรือเปล่า แต่ที่รู้จริงๆคือวันนี้วันเกิดผมเอง เป็นวันเกิดครั้งแรกในต่างแดน ตอนแรกพี่วัฒน์กับบายารุชวนไปดูซูโม่อ่ะ แต่เราไม่ค่อยอยากดูเท่าไหร่ เลยไปเที่ยวทานิกาวาดาเคะ (谷川岳) สะกดงี้ป่าวไม่รู้ กับ Shally ฮอนโจซัง และ อิเคดะซัง นั่งรถออกจากโตเกียวนานพอดูเลย ประมาณเกือบ 3 ชั่วโมง อยู่ระหว่างกุนมะกับนิงาตะ เค้าบอกว่าไปดูน้ำตกกัน ไปถึงน้ำตกมันอันนิดเดียวอ่ะ เทียบไม่ติดกับน้ำตกหลายแหล่ในประเทศไทย เหมือนเปิดก๊อกน้ำให้น้ำไหล สงสัยว่าไปกันผิดฤดู เห็นฟุกุชิม่าซังบอกทีหลังว่าเค้าชอบไปเล่นสกีกันที่นี่ เดินเล่นอยู่พักแล้วก็นั่งรถกระเช้าขึ้นไปข้างบน ถึงข้างบนมองไม่เห็นอะไรเลย หมอกลงจัดมากกก ทัศนวิสัยต่ำอย่างที่เห็นได้จากในอัลบั้ม แต่หนาวดี สะจายยย ได้เวลาท้องร้องจ๊อกๆ ก็เลยลงมากินโซบะดั้งเดิม เค้ามีแยกซุปมาทั้งหมด 4 ชามเล็กๆ จำไม่ได้แล้วว่าแต่ละอันเป็นอะไร แต่คุณลุงคนขายย้ำนักย้ำหนาว่าต้องกินทีละชาม ห้ามกินชามนี้นิดชามนั้นหน่อยเด็ดขาด เพราะจะเสียความเป็นโซบะแบบออริจินัล คุณลุงคนขายเค้ายังบอกอีกว่าน้ำที่เค้าเอามาทำเนี่ยต้องเป็นน้ำตกจากจังหวัด...เท่านั้น ดูเค้ารักการทำโซบะเป็นชีวิตจิตใจจริงๆ เค้าทำมาตั้งแต่ยังหนุ่มและจะทำไปเรื่อยๆ ฟังแล้วทึ่งมากกก แถมยังบอกว่าคนที่เค้าจะแต่งงานด้วยต้องรักโซบะเหมือนกันด้วย.. อึ้งเลยละสิ ส่วนความอร่อยขอยกนิ้วให้ ถึงแม้ว่าบางอันจะต้องกล้ำกลืนกินก็ตามอ่ะเพราะ มันดูหนืดๆแหยะๆ แล้วมันก็เยอะมากจนแทบกินไม่หมด.. ปล่อยให้โซบะย่อยซักนิดแล้วค่อยไปซื้อไอติมเต้าหู้กิน ไอติมทำจากเต้าหู้ล้วนๆ มีหลายรสด้วย รสชาเขียว รสสตอร์เบอรรี่ รสโกโก้ .. กินแล้วไม่รู้เลยว่าทำจากเต้าหู้ อร่อยดี กินเสร็จก็ถึงเวลากลับโตเกียว ถึงโตเกียวประมาณทุ่มกว่าโดยสวัสดิภาพ ก่อนเข้าห้องแวะไปทักพี่วัฒน์ก่อน พี่วัฒน์ใจดีมากบอกว่าไปซื้อเค้กวันเกิดกัน ด้วยความเกรงใจเราก็บอกไม่เป็นไรหรอกแต่แอบอยากกิน 555 ขอบคุณนะค่ะพี่วัฒน์ ขอบคุณเซี๊ยะด้วยที่อุตส่าห์โทรมาอวยพรวันเกิดจากมือถืออิวาโนะซัง :-)

25 Sep 2004

ว่างไม่มีไรทำเลยชวนพี่วัฒน์ไปเที่ยว Imperial Palaceกัน ตาม Lonely Planet มันบอกไว้ว่าให้ไปลงสถานีโตเกียวแล้วจะมีอะไรมากมายให้ดูระหว่างทาง แต่ตอนเราไปทำไมมันไม่มีอะไรเลย มีแต่ตึกๆ แบบสำนักงาน หรือว่าเราไปผิดทางหว่า แต่เย้ในที่สุดก็ถึงจนได้ ผ่านสวนแบบญี่ปุ่นด้วย ชอบที่เค้าปลูกต้นสนเรียงเป็นแนวๆ ถึงแม้ว่าจะดูไม่สูงใหญ่แต่ก็ดูเยอะๆดี ไปถ่ายรูปกับสะพานนิจูบาชิที่ขึ้นชื่อของที่นี่ ดูแล้วรู้สึกแค่ว่าของเค้าเป็นปราส๊าท ปราสาทอ่ะ ดูห่างไกล เข้าถึงยาก ไม่เหมือนสวนจิตรบ้านเราดูอบอุ่นกว่ายังไงไม่รู้ บอกไม่ถูกเดินวนๆในสวนที่เค้าเปิดให้คนนอกเข้าได้พักนึง ก็เจอแผนที่บอกว่ากินซ่าอยู่ไมไกลเลยชวนพี่วัฒน์ไปกินซ่าซะเลย

แอบหลงทางรถไฟใต้ดินนิดนึงด้วย (หลงอีกแล้ว) แต่ก็ถึงจนได้เข้าไปเดินวนๆใน Sony Building ก่อนด้วยความตื่นตาตื่นใจ เห็นอะไรก็อยากได้เป็นที่สุด เดินจนถึงชั้นล่างที่มันมี Sony Plaza แล้วก็ได้ช็อคโกแลตติดมือมาจนได้ อิอิ จากนั้นก็ไปเดินดูรอบๆ เห็นมีคนแสดงละครใบ้น่ารักดี ด้วยความอยากกินเค้กเลยไปแวะฟูจิยะ เห็นอันไหนก็อยากกินไปหมดเลย โอ้ยย ในที่สุดก็เลือกเค้กสตอร์เบอร์รี่มา 1 ชิ้น พี่วัฒน์กินไอติม พอออกจากร้านก็หาที่นั่งเหมาะๆกลางถนนที่มันปิดอยู่ นั่งแหมะแล้วก็โซ้ย มีความสุขจัง ยั่มๆๆ

Saturday, January 14, 2006

Salamut Datang Penang


I have a plan to write about my Penang trip that I visited in beginning of this year. Almost 1 year, I just start (how poor I am !!)...same as my story of Japan trip.
Day : 25 Feb 2005
My flight scheduled to leave Thailand around 5.20 PM but it was late till 6 PM. Thanks to AirAsia, our prime minister’s airline -"- Finally, I reached Penang at 9.30 after grabbed my bag, I met Shally and her boyfriend, Kim-Seng, and another lovely couple, Kent & Kelly. I went to hotel “Paradise Sandy Beach” located in Tanjung Bungah for check in first then went to night market along Gurney Drive for dinner.

Paradise Sandy Beach Hotel

Since this is my first meal in Penang, they treat me so well; total 6 dishes of hawker food for supper with 4 main dishes and 2 desserts.
Char Koay Teow :- Fried Noodle

Laksa :- Noodle in tamarind and mackerel soup

Koay Teow Th'ng :- Noodle in clear soup with fish balls

Ais kacang :- Shaved ice with red syrup over red beans, jelly, sweet corn with milk

Cendol :- green pandan flavoured noodles in white coconut milk with brown sugar

Unfortunately, I can't find photo of Rojak to show how delicious it look. Rojak is Fruits and Vegetables Salad mixed in a potent sauce of prawn paste.
Too much for me to eat them all, sorry pals!!
Note: Most of food photos are courtesy of http://new.exoticpenang.com.my/

Day : 26 Feb 2005
Having breakfast with Shally at hotel first them it's time to start explore Penang! Started with the famous beach in Penang, Batu Ferringhi. Along this beach, there are a lot of hotel, from 3 stars to 5 stars hotel. We just made a trip passed these luxury hotels. Then we moved to 2 famous temples located in George Town area (George town is old town area, has a lot of historical buildings). One is Thai temple called Wat Chayamangkalaram opposite one is Myanmar temple called Dhammikarama. You may notice difference of style between two of them.
After that we took a coffee break at Gurney Plaza, waiting for Kent before visited other historical places like Khoo Kongsi, Fort Cornwallis & Seri Rambai (canon), Kuan Yin Teng, St. George's Church around George Town area. Even I had stayed here only 1 day I noticed that Penang has a lot of old buildings, all of them are still in good condition. Look like they're trying to keep old town environment. Quite different from Thailand. Too bad..
I also met CH Choong and her boyfriend at Batu Ferringhi night market. She is very tall and pretty girl :-)

Day : 27 Feb 2005
TS (Tze-Siang) and Shally came to pick me up in the morning then we went to have Dim Sum for breakfast. As they told me, Dim Sum is very popular breakfast for Penang people, so you can notice a lot of Dim Sum restaurants spread over this island.
After charged the energy with Dim Sum we went to Kek Lok Si, very large temple on a hilltop of Air Itam (Air Itam means Black Water). A magnificent point of Kek Lok Si are the 30.2m Kuan Yin Statue and a seven tier pagoda, very impressive. If you visit Kek Lok Si at night during Chinese New Year, you will see unforgettable view, Kek Lok Si is shining. That's too bad for me, the time I visited Penang Chinese New Year already passed.
After lunch, went to 58th floor of Komtar to check view from the top. We can see the mainland, Penang Bridge of course Little India and China Town are included.
Then we had another coffee break at Gloria Jean's in front of E&O hotel. I met famous Lee-Peng here. She is very nice, smart and pretty like other people told me before.
At dinner, Wai-Seng and his friend Shuang came to pick me up for dinner. Both of them are the one who told me about Shining Kek Lok Si. They took me almost all famous places for dine, from George Town area to Air Itam, ended at Bayan Lepas.

Day : 28 Feb 2005
I woke up very early in the morning in order to take "Langkawi Coral" boat to Pulau Paya by my own. Pulau Paya is a marine park between Penang and Langkawi. The water is very clear, however, it can't compare to Thailand. I think Thailand's beaches is more beautiful than here. BUT, the way Thailand and Malaysia conserve the things that mother nature gave to us is totally different. Here, they build a large floating platform to be the boats platform. This will prevent damage to coral reef near the beach. They also built underwater observation chamber on this platform for viewing the reef. I did enjoy the time I spent here a lot. I saw sharks feeding, do snorkelling and viewing reef from glass-bottom boats.
Tonight, I went to Japanese restaurant to had dinner with Lee-Peng, TS, YC, Shally and Kelly.
Day :1 Mar 2005
Last day in Penang, I went to Penang Hill in the morning. It is 821m above George Town. I like the climate up there, cooler than below, as well as the view of this island and mainland. Also went to Penang Bridge, 13.5 km long, it used to be the longest bridge in Asia. We crossed over Penang Bridge to Butterworth and took a ferry back to Penang. After that went to Spansion (Penang). I met a lot of people which I never met before only heard a name like JC Lim, KH Tam, YK Teh, KY Goh, Dartshyni, Hafiz, EL Ang, CL Tham, YM Goh, SW Ng and etc.... also met someone I knew them like CK Tan, Lee-Peng, TS, CH, WS and other EBU members. Finally, it's time for me to leave Penang. I really enjoy this trip. This trip gave me a chance to do the thing that I never did before, travel abroad alone, even it's not the backpack like I plan but it will be a good starting point for my next project. Also gave me a chance to re-charge my battery before continue to work again. Last but not least, gave me an opportunity to visit my old friends.
Thank you very much for all Penang hosts who help me to fulfilled my dream...See you again soon!!

Friday, January 13, 2006

ATV ณ ปากช่อง & Narnia ณ ปากเกร็ด


เสาร์ที่ 7 มกราคม 2006
ไปเที่ยวปากช่องกับที่บริษัทมา จุดหมายหลักคือไปขับรถ ATV ที่ทองสมบูรณ์คลับ
ออกจากบริษัทก็เกือบ 9 โมง แวะนู่น แวะนี่ ถึงที่ไร่ประมาณเที่ยงครึ่ง เวลาดีคนยังไม่เยอะเท่าไหร่ ที่นี่เค้ามีกิจกรรมให้เลือกหลายอย่างหลังจากเลือกกันอยู่พักนึงก็เลยตัดสินใจเล่นกันอยู่ 3 อย่าง ก็สนุกดีนะ แต่มันไม่ถึงใจเท่าไหร่ แต่ละอย่างมันให้เล่นเป็นระยะทางสั้นๆ หลอกให้อยากแล้วก็หมดอ่ะ เซ็ง -_-" ขากลับแวะกินทุกอย่างจนพุงกางเลย
โชคดีที่วันนี้ฟ้าเปิด รูปนี้เป็นรูปโดยรวม ไอ้ดินแดงๆคือลู่ของ ATV

อย่างที่

รถ ATV โดยมีด้านหลังของข้าพเจ้าเป็นแบบ 555
อันนี้เป็นรถ size กลางอ่ะ ขับยากเหมือนกันโดยเฉพาะตอนเลี้ยว ชนตลอดเลย

อย่างที่

เค้าเรียกว่า Luge ไหลตามทางโค้งที่เห็น
เป็นรถพลาสติกพร้อมเบรคไม่มีเครื่องยนต์ (มันไม่ค่อยเหมือนรถเท่าไหร่เลย)
เป็นประมาณรถแม้วยังไงยังงั้นเลย ตอนเล่นเกือบแหกโค้งด้วย
เค้าน่าจะทำทางวิ่งให้ยาวกว่านี้หน่อย มันยังไม่สุดอ่ะ ชอบอันนี้ที่สุดเลย

อย่างที่

Flying Fox ความรู้สึกเหมือนโดดหออ่ะ
รู้สึกเฉยๆ ระยะทางสั้นไปนิด แถมวิวรอบข้างก็ยังไม่ดึงดูดใจ
ถ้ามีวิวแม่น้ำ น้ำตกหรือว่าดอกไม้เพิ่ม ดูจะน่าสนใจกว่านี้อ่ะ

กลับมาถึงบริษัทไปดู Narniaต่อ ชอบมากๆๆๆ ใครที่ยังไม่ได้ดู ไปดูซะ  *Highly Recommended*

ดูจบปุ๊ปว่าไปหาซื้อหนังสือทันที แต่ที่เป็นชุดมันหมดแล้วอ่ะ แย่จัง

สรุปรายชื่อทั้งหมด 7 เล่มของ The Chronicles of Narnia

1. The Lion, the Witch and the Wardrobe
2. Prince Caspian
3. The Voyage of the Dawn Treader
4. The Silver Chair
5. The Horse and His Boy
6. The Magician's Nephew
7. The Last Battle

Monday, January 9, 2006

東京 Part 2: First Week in Tokyo


13 กันยายน 2004
คืนแรกผ่านพ้นไปได้ด้วยดี ถึงเวลาต้องไปออฟฟิสแล้วแหละ นัดกับฮิกิดะซังไว้ตอน 8 โมงครึ่งเพราะเค้าบอกมาในเมล์ว่าเดินจากโรงแรมไปถึงออฟฟิสใช้เวลาแค่ 5 นาที เอ่อ..ไอ้ 5 นาทืสำหรับคนญี่ปุ่นเนี่ยนะ อาจเท่ากับ 10 นาทีเดินของคนไทยเลยก็ว่าได้ คนญี่ปุ่นเดินกันเร็วมากกก แถมเดินอึดกะเดินไกลอีกตังหาก มิน่าล่ะ สาวญี่ปุ่นถึงได้น่องโตกัน อุ้ย แอบเม้าท์ไปแล้วอ่ะ ถึงเวลาก็เจอฮิกิดะซัง บายาร์ซัง แล้วก็คาวาคามิซังที่ตรงล็อบบี้ เห็นหน้าคาวาคามิซังแล้ว แทบกรี๊ดสลบ น่ารักมากกกก โอ้ย หัวหน้าชั้นๆๆ ในรูปไม่เห็นน่ารักงี้ แต่แหมดันมีแหวนที่นิ้วนางข้างซ้ายซะแล้วอ่ะ เศร้าเลย -"-
ส่วนบายาร์ซังเนี่ยที่ชื่อแปลกๆ ไม่ค่อยเหมือนชื่อญี่ปุ่นเท่าไหร่ มันย่อมาจาก Otgonbayar อ่ะ ยาวม่ะ เค้ามาเฉลยที่หลังว่าเป็นคนมองโกเลีย มาเรียนที่ญี่ปุ่นตั้งแต่เรียน ปวช ประมาณนี้อ่ะ ไม่รู้ว่าที่ญี่ปุ่นเค้าเรียกว่าอะไร แต่เค้าบอกว่ามาเรียน diploma ก็เหมาๆเอาว่าเป็น ปวช ล่ะกัน.. แล้วก็เลยตั้งรกรากอยู่ที่นี่เลย ลูกสาวสองคนแล้วอ่ะ ทั้งๆที่เค้าอายุแก่กว่าเรา 2-3 ปีเอง
สรุปว่าเดินไปใช้เวลาแค่ 5 นาทีจริงๆด้วย อยู่ใกล้มาก office เราตั้งอยู่บนชั้น 5-8 ของ shinjuku chuo koen building อยู่ตรงข้ามกับสวนสาธารณะเลย (中央公園) ดีอ่ะ มีสวนเขียวอยู่ใกล้ๆ ตัวตึกเองก็เป็นสีเขียวด้วยเหมือนกัน

หลังจากไปรับบัตรเข้าออฟฟิสแล้วเค้าก็ให้แนะนำตัวกับคนทั้งแผนก เขินมากไม่รู้จะพูดอะไร พูดก็ไม่เก่งอีกตังหาก มารู้เอาทีหลังว่าเป็นวัฒนธรรมของเค้าอ่ะ มีใครมาก็ต้องแนะนำตัว พอจะจากไปก็ต้องพูดอำลาต่อหน้าคนหมู่มาก วันแรกก็ไม่ได้ทำอะไรเท่าไหร่ เค้าก็พาไปแนะนำกับคนนั้น คนนี้ พาไปทัวร์ tester floorแล้วก็ถึงเวลาเที่ยง คุราฟูจิซัง director พาไปกินที่ร้านเทมปุระตรงใต้ตึก Hyatt ที่เค้าถ่าย Lost in Translation แล้วเค้าก็แนะนำให้รู้จักกับผู้หญิงปีนังที่มาเทรนที่นี่เหมือนกัน ชื่อ Siew-Lan หน้าตาน่ารัก อายุมากกว่าเราปีนึง ผ่านไปถึงตอนเย็นเค้าก็พาไปเลี้ยงอีกรอบนึงที่เดิมแต่เปลี่ยนเป็นร้านอาหารจีน ทำให้เห็นสัจธรรมว่าคนญี่ปุ่นดื่มเบียร์ยังกับน้ำอ่ะ ผ่านไปไม่ถึง 10 นาทีเลยเบียร์หมดเป็นเหยือกๆ อุ้ จะรีบไปไหนกัน.... ที่เห็นอีกอย่างคือทุกคนที่ทำงานอ่ะ อายุ 30 up กันทั้งนั้นเลย เด็กสุดคือ 30 พอเค้ารู้อายุเรานี่ตกใจทันที ตอนที่อยู่นั่นพึ่ง 23 เอง ทุกคนพูดอยู่ประโยคเดียว too young..too young...ก็ฮาดี..หลังจากเลิกก็กลับเข้าโรงแรมแล้วก็ไปเดินตระเวนเล่น UFO catcher ได้น้องตุ๊กตาหมีพูห์มาแบบโคตรฟลุ้กเลย มารู้ทีหลังตอนไป Disney Land ว่าคนญี่ปุ่นเรียกหมีพูห์ว่า พูห์ซัง เย้... ดีใจ ดีใจ

15 กันยายน 2004

วันนี้ตอนเย็นมี welcome party ให้เรา เซี๊ยะแล้วก็พี่วัฒน์ ฮิกิดะซังบอกว่านี่เป็น party ที่ใหญ่ที่สุดเพราะรวมคนจาก EBU(ฝั่งเรากับพี่วัฒน์) และ WBU(ฝั่งเซี๊ยะ) เอาไว้ด้วยกันเป็นร้านเนื้อย่างสไตล์เกาหลีอยู่แถวๆคาบุกิโจ สิ่งที่เราเห็นวันนี้เป็นการยืนยันสมมติฐานจากเมื่อวานเกี่ยวกับการดื่มเบียร์ของคนญี่ปุ่น วันนี้เอาอีกแล้วอ่ะ แค่ 10 นาทีหมดไปหลายพิชเลย แถมยังถูกรมตัวด้วยควันบุหรี่อันคละคลุ้งอีกตังหาก เอาน่าถือว่าเป็นควันเนื้อย่างก็ละกัน วันนี้เราขอไม่ดื่มเบียร์ ขอเป็น sweet alcohol แทนอร่อยดีอ่ะ (คำแนะนของฮอนโจซัง) พวกคัทซึออเรนท์ คัทซึเกรปฟรุ้ต ไม่รู้ว่าตัวหลักทำจากอะไร แต่ซัดไปหลายแก้วเหมือนกัน แปลกดี ไม่เคยเห็นที่เมืองไทย กับข้าวก็มีเนื้อย่าง มีกิมจิ มีข้าวผัด ประมาณนี้อ่ะ แต่ไม่อิ่มเลย -"- ดูเหมือนว่าคนส่วนใหญ่เค้ามาเพื่อดื่มอะ ไม่ได้มาเพื่อกินข้าวเย็น ....แง่ม แง่ม หิวโว้ย....ประมาณสองทุ่มกว่าๆงานเลี้ยงก็เลิก ผู้คนกกลุ่มนึงก็กลับบ้านกันไป ส่วนเราฟูจิตะซังซึ่งเป็น manager ได้ชักชวนให้เหล่ากะเหรี่ยงอย่างเราๆไปต่อที่ second party ตอนแรกก็งง งง ว่าเป็นยังไง อันที่จริงแล้วก็คือหาร้านดื่มเหล้าต่อ เท่าที่กินมานี่ยังไม่พออีกหรือค๊า สรุปก็ไปต่อกันจนได้ แต่แปลกดีดูดื่มไม่ดุเท่ากับก่อนหน้า สงสัยจะกึ่มกันแล้วละมั้ง เราก็ซัดแต่ถั่วเมนมะ อร่อยดี กับจินเจอร์ เอล...แต่คราวนี้ไม่ไหวว่ะ ฮิกิดะซังกับอิวาโนะซังพ่นควันเข้าหน้าเต็มๆ โอ้วววนึกในใจ ชั้นเกลียดบุหรี่แกรู้ไม๊... แต่ก็ต้องทำหน้าตาว่าเหมือนไม่มีไรเกิดขึ้น ฮึ่ม ฮึ่ม....ในที่สุด 4 ทุ่มกว่าก็มาถึงทุกคนต้องรีบเดินทางกลับบ้านเพราะเดี๋ยวไม่ทันรถไฟเที่ยวสุดท้าย แต่ละคนบ้านอยู่กันไกลโคตร อย่างต่ำชั่วโมงนึงบนรถไฟอ่ะ ขอย้ำอย่างต่ำ แถมยังต่อรถไฟอีกหลายทอด อย่างบายาร์ซังบ้านอยู่ไกลปู้น ไซตามะอ่ะ ต้องต่อรถไฟ 3 ทีอ่ะ มารู้ทีหลังว่าเค้าตกรถไฟต้องนั่งแท็กซี่กลับบ้านหมดไปเป็นหมื่นเยน....ของเราด้วยความว่าทุกคนกลัวกลับโรงแรมไม่ถูกหรือว่ายังไงก็ไม่รู้ อิวาโนะซังกับคาวาคามิซังเลยเดินมาส่งที่โรงแรม ส่วน Shally กลับมาด้วยเพราะลืมกระเป๋าตังค์ไว้ที่ออฟฟิส คาวาคามิซังเมาอย่างแรงอ่ะ เดินไม่ตรงทางเลยอ่ะ....

ส่วนตอนกลางวัน Siew-Lan พาเราไปแนะนำกับกลุ่ม Lunch girls ด้วย ที่นี่เค้าแยกกันกินข้าวระหว่าง ญ กับ ช อ่ะ ไม่ค่อยเห็นใครไปด้วยกันเท่าไหร่ ใน Lunch girls เนี่ยก็จะมีมาจากเกือบทุกแผนกที่เป็นประมาณ engineering department ไม่นับพวก marketing กับ admin นะเพราะวันๆไม่เคยเจอกันอยู่แล้ว ทั้งกลุ่มมีกันอยู่ 10 กว่าคน ยึดเอาโต๊ะข้างตู้กดน้ำเป็นที่สิงสถิตย์ ส่วนอาหารบางคนก็ทำกันมาเอง บางคนก็ไปซื้อจากคุณป้าหน้าลิฟท์ ส่วนเราเหรอแน่นอน ทำกับข้าวไม่เป็นเลยก็ต้องอาศัยพวกคอนวีนี่กับซุปเปอร์ราคาถูกด้านหลังบริษัทเอาไว้ประทังชีวิต

ที่นี่ทั้ง EBU กับ WBU ก็มีผู้หญิงอย่างละคนเองอ่ะ น้อยชะมัดคิดเป็นประมาณ 5%เอง เทียบกับแผนกเราที่เมืองไทยนี่ไม่ติดฝุ่น มีผู้หญิงเกือบ 40% ได้...

16 กันยายน 2004

คาดว่าคาวาคามิซังเมาค้าง และคงตื่นไม่ไหวอ่ะ

เลยหายหน้าไปตอนเช้า โผล่มาอีกทีก็บ่ายเลย....

ตกเย็นแกงค์สามช่าก็ได้เวลาออกตามล่าหาร้านราเมนที่พี่หนิงแนะนำมา โดยมีนามบัตรของร้านที่เป็นภาษาญี่ปุ่นทั้งหมด และเราสามคนไม่มีใครเข้าใจภาษาญี่ปุ่นเลยแม้แต่นิดเดียว จะหาเจอไหมน๊ออออ ขนาดว่าเซี๊ยะเพื่อนรักได้ทำการถามไถ่ทิศทางมาจากพวกที่ออฟฟิสแล้ว แต่ก็ยังหาไม่เจออยู่ดี เดินวนอยู่แถวฝั่งยาสุคุนิโดริประมาณ 5 รอบเป็นอย่างต่ำ ในที่สุดก็ทนไม่ไหว ต้องหาใครซักคนมาบอกทางแล้ว ตอนแรกก็เดินปราดเข้าไปพร้อมกับกล่าวคำว่า "Excuse me" พอทุกคนได้ยินประโยคนี้ก็ทำหน้าตาหวาดกลัวและเดินหนีทันที เป็นไรกานนน ไม่กัดหรอกน่า ทีนี้เลยมามุขใหม่เดินเข้าไปหาเหยื่อแล้วก็ Sumimasen ก่อนทีนี้แหละเหยื่อจะหนีไม่รอดเพราะหันมาสนใจเราแล้ว 5555 แผนเด็ด และแล้วก็ถึงบางอ้อว่ามาผิดฝั่งของสถานีชินจูกุ แค่เพียงคุณข้ามถนนเส้นที่ยืนไป เลี้ยวนิดหน่อย คุณก็จะเจอร้านราเมนสุดอร่อยทันที.......

ปัญหาถัดไปคือมันเป็นตู้กดที่มีแต่เมนูภาษาญี่ปุ่นอ่ะ แถมเป็นคันจิอีกตังหาก เอาแล้วสิตู ในทีสุดคุณคนจัดคิวคงทนไม่ไหว เอ๊า เอาไปเมนูภาษาอังกฤษ โหย เพ่กั๊กไว้ทำไมอ่ะ ให้ยืนงงกันตั้งนาน ในเมนูเค้ามีให้เลือกเครื่องว่าจะใส่อะไรบ้าง เท่าที่จำได้มี เมนมะ, ไข่ต้ม, ต้มหอม, สาหร่าย, กระเทียม, กระเทียมเจียว กรอบๆ แล้วก็หมูคล้ายๆสามชั้นอะ เราสามารถเลือกจำนวนอย่างได้ เท่าราคาที่เลือกอ่ะ ไม่แน่ใจชื่อร้านอ่ะ อ่านไม่ออก ตามเวบล่ะกันฮะ http://www.kouryu.org

ไปที่ไรก็กินเมนูนี้ทุกที 自分仕立てラーメン ¥750

แอบดูคนที่นั่งข้างๆเค้าดูดซ้วบ ดูดซ้วบเลยเอาบ้าง มันช่วยได้จริงๆแฮะ กินง่ายขึ้นแล้วก็ไม่ลวกลิ้นด้วย คนญี่ปุ่นนี่กินเก่งจังเลยอ่ะ เรากินชามนี้นี่แทบกระอัก แต่เค้ากินกันหมดอย่างรวดเร็ว แถมเพิ่มราเมนปล่าวๆ กับข้าวอีกอย่างละ 1 ชาม อู้ว นับถือ นับถือ .....หลังจากกินเสร็จก็ไปเล่นเกมส์ตีกลองกับ UFO Catcher อย่างบ้าคลั่ง เห็นคนอื่นเค้าเล่นเกมส์ตีกลองแล้ว เราต้องไปแอบๆตีเอา อายเค้า มีคนนึงตีคนเดียว 2 กลองอ่ะ มันทำได้ไงอ่ะ เก่งโคตรร

17 กันยายน 2004

เย้ๆๆ ในที่สุดก็วันศุกร์ซะที ได้เวลาวางแผนไปเที่ยวเสาร์-อาทิตย์-จันทร์ซะที วันจันทร์เป็นวันหยุดเนี่องในโอกาส "Respect for the aged day" ไม่รู้เหมือนกันแฮะว่าเป็นวันอะไร (><)" วันนี้พี่พีทมาจาก Aizu เพื่อจะไปเที่ยวด้วยกัน อีกไม่นานพี่พีทก็จะย้ายไปเมกาเป็นการถาวรแล้ว พี่เค้าจะมาพักด้วยที่โรงแรม ยังดีนะที่พี่พีทตัวเล็กไม่ง้านแย่แน่เลย -"-

นัดเจอกับยุ่นที่โรงแรมก่อน แล้วค่อยไปหาพี่พีทที่สถานีชินจูกุ วันนี้ 5 โมงครึ่งเด้งทันที ไม่สนแล้วว่าจะมีอะไรค้างอยู่อ๊ะป่าว เสียใจด้วยประชาชน หลังจากครบทีมเลยไปกินมื้อเย็น ไคเตนซูชิที่ชิบูย่า เค้าบังคับให้กินคนละ 7 จานเป็นอย่างต่ำ ทุกคนกินกันอย่างเอร็ดอร่อย มีพี่วัฒน์คนเดียวที่ค่อนข้างระทมทุกข์ เค้าไม่ค่อยชอบกินปลาดิบเท่าไหร่ กินได้แต่ไข่หวาน กินแค่ 4 จานก็สุดทน เราเลยต้องรับผิดชอบอีก 3 จานที่ขาดไปของพี่วัฒน์ โอ้ยยยย อิ่มสุดๆ แล้วไปนั่งดูคน พร้อมกับจิบกาแฟที่ starbucks ... ที่สาขานี้คนเยอะมาก เค้าเลยไม่มี size ให้เลือก มี size เดียวคือ tall อ่ะ แถมที่ญี่ปุ่นไม่มี decaf อีกตังหาก ว้าแย่จัง กว่าจะได้ที่นั่งต้องเข้าแถวรออยู่แป๊ปนึง ได้ที่วิวดีมาก เห็นสาวๆหน้าตาน่ารักๆเต็มไปโม้ดดด แถมยังเห็นคลื่นมหาชนที่แยกข้างล่างด้วย ตอนเห็นไฟเขียวไฟแดงนี้ครั้งแรก ตกใจเลย คนมาจากไหนก็ไม่รู้อ่ะ เดินตัดกันไปตัดกันมา โหยยยย สุดยอด จากนั้นก็กลับไปโรงแรมเตรียมตัวตื่นแต่เช้าพรุ่งนี้เพื่อไปซึกิจิอ่ะ

18 กันยายน 2004

ตื่นตั้งแต่ไก่โห่ ตี4กว่าเพื่อไปให้ทันรถไฟเที่ยวแรกไปตลาดปลาซึกิจิ ไปถึงตี5กว่า ใกล้ๆ 6โมง ยังดีไปทันดูตอนเค้าประมูล Maguro พอดี.. ดูแปลกดีเหมือนกัน คนที่ทำหน้าที่ดำเนินการประมูลเค้าร้องเป็นจังหวะ เป็นเพลง แต่ละคนจะมีจังหวะที่ต่างกันไป บางคนมีขยับตัวด้วยอ่ะ เจ๋งดี แถมปลาก็ตัวใหญ่มากกก บางตัวนี่ทั้งอ้วนทั้งยาวเลย ดูเด่ะ

หลังจากนั้นก็ไปกินซูชิที่ร้านแถวตลาด ยุ่นแนะนำ ผ่านร้านที่ขายปลาโอแห้งด้วย มันไม่เหมือนปลาเลย เหมือนก้อนหินมากกว่าอ่ะ ไม่รู้เค้าทำไงถึงทำให้ปลากลายเป็นหิน อุอุ ซูชิอร่อยมากกกก กินแล้วข้าวละลายในปาก เนื้อปลาสดจริง หวานอร่อย อู้วววว ได้ลองกินปลาดิบสดๆอ่ะ เค้าล้วงปลาออกมาจากอ่างแล้วก็จัดการเอาผ้ามาปิดตาปลา แล้วก็แล่ให้เห็นต่อหน้าต่อตา ตอนเค้าเอาจานมาวางครีบมันยังดึ๊บๆ อยู่เลย มันดูโหดและทารุณมาก แต่อร่อยสุดๆ ตอนกินเหมือนมันยังดิ้นในปากอยู่เลย มื้อนี้แสนอร่อย

จากนั้นก็เคลื่อนพลไปโอไดบะโดยยูริกาโมเมะ ถึงโอไดบะตอน 8 โมงเช้า โอ้วว ไม่มีคนเลย แถมไม่มีอะไรเปิดเลยด้วย ทั้ง Fuji TV ทั้ง AQUA City เลยเดินไปถ่ายรูปกับ rainbow bridge กับคุณเทพีเสรีภาพย่อส่วน เค้าว่ากันว่าเทพีอันนี้หันหน้าไปจ๊ะเอ๋กับคุณที่นิวยอร์กพอดิบพอดี มีคนแอบนั่งสวีทกันด้วย อิจฉา (><) เนื่องจากไม่มีอะไรเปิดเลยว่าจะนั่งเรือเมล์ไปอาซากุสะ เรือยังไม่เปิดอีก เปิดตอน 10 โมง เลยเตร็ดเตร่อีกแป๊ปแล้วก็กลับไปกินกาแฟที่สถานีชิมบาฉิ แล้วค่อยไปอาซากุสะกัน ไปถึงทันเวลาดูนาฬิกาตรงหน้าวัดพอดี ได้มุมดีเสียด้วย บรรยากาศในวัดเหมือนกับ 12 ปีที่แล้วเลยอ่ะ ยกเว้นก็แค่หลังคาที่มันทำใหม่ให้เปิด ปิดได้ ระหว่างทางเข้าวัดนี่ซัดเรียบทุกอย่างที่ขวางหน้า เซมเบ้เอย ขนมทอดๆที่เป็นงาเอย ชาเขียวเอย ดังโหงะเอย Enjoy Eating จริงๆเลยเรา หลังจากไหว้พระแล้วก็เดินวนๆแถวนั้นพักนึง เลยตัดสินใจไปอะคิฮาบารากัน พี่พีทขอแยกตัวไปก่อนเพราะมีนัดไปกินซ่ากับโยโกะ ไปถึงอะคิฮาบาราตื่นตาตื่นใจอีกแล้วอ่ะ ข้านขายเครื่องใช้ไฟฟ้าเรียงกันเป็นแถบ ตอนแรกเดินไปซื้อกล้องของเซี๊ยะก่อน ร้านมันซับซ้อนมากแต่ถูกจริง แล้วก็เดินวนๆดูของและเล่นเกมส์ตู้ ในที่สุดก็เหนื่อย ถึงเวลาหาอาหารกินต่อ... ยุ่นแนะนำ Jangara Ramen http://www.kyusyujangara.co.jp/ ราเมนสไตล์คิวชู รอคิวนานโคตรๆ เกือบชั่วโมง แต่อร่อยคุ้มค่าการรอคอยมาก เกิดเรื่องน่าอับอายขึ้นระหว่างรอคิวด้วยแหละ คือยืนรอคิวอยู่แล้วปวดท้องไง ก็บอกพวกมันไปว่า ปวดอึ มันก็เอาไปตะโกนล่อกันใหญ่เลยว่า ตุ๊กตาปวดอึๆ โดยไม่อายใคร สุดท้ายหลังจากกินราเมนเสร็จก็มีคนที่เดินเข้ามาในร้านแล้วถามเราว่า "ราเมนอร่อยไม๊ค่ะ" เฮือก อายมากกกกอ่ะ อายสุดๆเลย -_-'

หลังจากอับอายขายหน้าเป็นที่พอใจก็ได้เวลากลับถิ่น ชินจูกุ พวกผู้ชายจะกลับไปนอนที่โรงแรม เราเลยแยกตัวออกมาหาแจ๋เจินกับกอยุทธ พอดีว่าแจ๋เจินมาทำงานที่นี่อาทิตย์นึง นัดเจอกันที่ Tokyu Handsปัญหาใหญ่คือ เรายังงงทิศทางแถวนั้นอ่ะ เดินวนๆอยู่แถว Mycity กับ Lumine อยู่พักนึงก็ยังหา Takashimaya กับ Tokyu Hands ไม่เจอ เลยเดินเข้าไปหาเด็กสาวสไตล์ฮาราจูกุสองคนที่เราคิดว่าเค้าต้องรู้แน่ๆว่าอยู่ไหน พอเดินเข้าไปพูดภาษาอังกฤษปุ๊ปเค้าส่ายหัวแล้วเดินหนีทันทีเลย เออ...เศร้าเลย หมุนตัวอีก 2-3 รอบแล้วเอาใหม่ ทีนี้เป็นเด็กหนุ่มใส่แว่น เหมือนสวรรค์โปรด...เค้าสามารถชี้ทางสว่างให้ได้ เย้ๆๆๆๆ ในที่สุดก็หากันจนเจอ ตอนแรกวางแผนว่าจะไปกินข้าวเย็นด้วยกัน บังเอิญว่าหัวหน้าของแจ๋เจินโทรเข้ามือถือบอกว่าให้ไปกินข้าวเย็นด้วยกัน ก็แผนล่มสิค่ะ พอ 6 โมงเย็นต้องรีบไปสถานีชิมบาฉิอีกรอบ เพื่อส่งแจ๋เจินกลับโรงแรมให้ทันเวลา โหย เหนื่อยแสนสาหัส วิ่งๆๆๆ ในที่สุดก็ทันเวลา.. จากนั้นเรากับกอยุทธก็เลยไปเดินที่กินซ่า ดูของ หาข้าวเย็นกิน ตกลงกันไม่ได้เลยกินyoshinoya แทน ...แล้วก็กินเค้ก Fujiya ก่อนกลับโรงแรม คืนนี้พี่พีทนั่งรถไฟเที่ยวสุดท้ายกลับมาไม่ทันเลยพักที่อพาร์ทเมนต์ของ Adam Fogle ที่ รปปงงิ จบวันที่เหนื่อย แสนสาหัสไปได้อีกวันนึง

19 กันยายน 2004

วันนี้กว่าจะตื่นก็สายมาก ตอนแรกนึกว่าพี่เอกจะมาจากเมืองไทย สรุปเซี๊ยะจำผิดวัน จริงๆมาพรุ่งนี้แทน...เวรกำ ตอนบ่ายก็เลยไปตกลงว่าจะไปเที่ยวโยโกฮาม่ากัน ก่อนออกเดินทางซัดอาหารกลางวันเป็นราเมน (อีกแล้ว) ร้านนี้แนะนำโดยพี่พีทชื่อ Santouka http://www.santouka.co.jp/อร่อยอีกแล้วอ่ะ ต้องสั่ง ชิโอราเมนพร้อมไข่ต้ม จากนั้นถึงออกเดินทางไปโยโกฮาม่า กะว่าจะไปลงตรงสถานีใกล้ๆ China Town ปรากฎว่าลงรถไฟผิดสถานีอ่ะ ลงตรงสถานีโยโกฮาม่าเลย งง งง อยู่แป๊ปนึงเลยไปถามที่ Information Counter ว่าจะไปยังไงดี และไปเที่ยวไหนดี คุณที่ให้ข้อมูลเค้าพูดภาษาไทยได้ และได้ดีด้วยอ่ะ เก่งจัง หน้าตาน่ารักด้วย เค้าเลยแนะนำให้นั่งเรือไป เพื่อเปลี่ยนบรรยากาศ เราทั้งหมด 4 คนจึงพร้อมใจกันไปนั่งเรือ Sea Bass เพื่อไปตรงสวนสาธารณะที่มีเรือ Hikawa Maru จอดเทียบท่าอยู่ จากนั้นก็ไปเดินเล่น China Town ดูเค้าขายซาลาเปาลูกเท่าบ้าน มีร้านอาหารจีนเต็มไปหมด มีรูปรายการยุทธการกระทะเหล์กแปะอยู่ตั้งหลายร้าน แต่ก็ไม่ได้กินอะไร เพราะอิ่มอยู่ เดินวนๆ ซื้อกาแฟกันคนละแก้วแล้วก็ไปเดินที่เรือ Hikawa Maru เพื่อดูประวัติความเป็นมาของเรือ อยู่จนกระทั่งฟ้าเริ่มมืด เห็นมินาโตะมิไร อยู่ลิบๆ ก็พาซื่อคิดกันว่ามันคงไม่ไกลเท่าไหร่หรอก เดินไปสบายๆ ที่ไหนได้ แทบกระอักเลย เหนื่อยโคตรๆ ไปถึงสวนสนุก Cosmoworld เล่น UFO Catcher ได้ตุ๊กตามิกกี้มาตัวนึง เย้ๆๆๆ หาข้าวเย็นกินแล้วก็กลับ

20 กันยายน 2004

วันนี้พี่เอกแวะมาทรานซิทก่อนไปเมกา พี่พีทนำทัวร์ไปฮาราจูกุ ไปกินซูชิตรงร้านใกล้กับ Snoopy Town อร่อยดี แล้วก็เดิน Window Shopping แถว Omotesando แวะไปกินเครปที่ Takeshita แล้วก็กลับมาพาพี่เอกไป HMV ที่ Takashimaya ชินจูกุ ขากลับต้องรีบวิ่งอีกแล้ว เพราะกลัวพี่เอกตกรถลีมูซีนที่ซื้อตั๋วไว้ มาถึงนี่รถกำลังจะออกแล้วอ่ะ ยังดีที่มาทันหวุดหวิด จากนั้นส่งพี่พีทกลับ Aizu จากนั้นก็ไปเดินเล่นซื้อของใช้จำเป็นที่ Uniqlo กับ Muji ไปเดินเล่นที่ Tokyu hands, Isetan ห้างต่างๆแถวนั้น ที่พลาดไม่ได้ก็พวก Yodobashi, Bic และ Sakuraya

จบสัปดาห์ที่ 1

Monday, January 2, 2006

東京 Part 1: First Day in Tokyo

เคยคิดว่าจะเขียนบันทึกเกี่ยวกับชีวิต การทำงาน และแน่นอนเรื่องไปเที่ยวช่วงที่อยู่ญี่ปุ่นมานานโข ตั้งแต่ปีที่แล้วอ่ะ ไม่ได้เริ่มซักกะที ไหนๆช่วงนี้พอมีเวลาก็ถือว่าเป็นจุดเริ่มต้นเลยละกัน ไม่รู้ว่าจะเขียนได้เยอะขนาดไหนอ่ะ แล้วแต่ความอดทน 555 ถึงเราจะอยู่แค่ 3 เดือนเองแต่ก็รู้สึกดีกับประเทศนี้นะ แต่ยังไงยังไงก็ไม่มีที่ไหนสุขใจเหมือนบ้านเรา......


ทริปนี้โดยหลักมีผู้ร่วมชะตาทั้งหมด 3 คนอ่ะ มีเรา, เซี๊ยะ แล้วก็พี่วัฒน์...มียุ่นแจมเป็นบางคราว แถมยังมีชาวต่างชาติเป็นตัวประกอบด้วยนะ แน่นอนต้องมีคนญี่ปุ่น, มีคนปีนัง, คนฮ่องกง, คนเมกาแล้วก็คนมองโกเลีย..อ๊า..แปลกใจล่ะสิ..บอกไว้ก่อนว่าบริษัทเราเป็น international นะยะ


12 กันยายน 2004

ความสนุกเริ่มตั้งแต่ก้าวแรกที่เหยียบนาริตะ พอลงจากเครื่องปุ๊ปทั้ง 3 หนุ่มสาวพร้อมใจกันเข้าห้องน้ำ ไอ้เรารึก็ธุระเบาเลยเสร็จไว ออกมาก่อน รอ 2 นาทีก็แล้ว 5 นาทีก็แล้ว คนที่อยู่ข้างๆเริ่มหายไปกันทีละคน สองคนจนไม่เหลือใครแล้ว เหลือเราอยู่เดียวอ่ะ เริ่มตกใจ เอ...หรือว่าพี่วัฒน์กับเซี๊ยะจะทิ้งตูให้ไปเผชิญชะตากรรมคนเดียวแล้วเนี่ย เกือบ 10 นาทีผ่านไปได้เริ่มไม่ไหวแล้ว จะให้เราเองเดินเข้าห้องน้ำชายรึ..ก็ไม่กล้า ยังดีมีคุณ ต.ม.หนุ่มเดินผ่านมาเลยต้องไหว้วานให้เค้าเดินเข้าไปดูอ่ะ พอเค้าเข้าไปท่านทั้งสองก็เดินออกมาพอดี เฮ้อ รอดไป นึกว่าโดนทิ้งแล้วตรู...พอมาเอากระเป๋าที่สายพานปรากฏว่ากระเป๋าหายหมดเลย มีไฟลท์อื่นมาแทนที ตกใจกันอีกเป็นรอบ 2 เดินไปเรื่อยๆก็เจอกระเป๋าสุมกองกันอยู่ .....คิดดูสิว่าสองคนนี้เข้าห้องน้ำนานขนาดไหนอ่ะ ......หลังจากผ่านพิธีการทางศุลกากรและตรวจคนเข้าเมืองก็มาแลกตังค์ไว้ติดกระเป๋าเป็นค่ารถ ค่ากิน แล้วก็จัดการซื้อตั๋ว Limousineไปโรงแรม Shinjuku Washington Hotel ราคา 3000Y... ด้วยสายตาไวปานเหยี่ยวของเราเองเห็นคนถือแก้ว Starbucks มาอ่ะ ด้วยความอยากกาแฟเต็มที่เลยกระโจนไปหาเค้าอย่างไร้สติ แล้วถามเค้าว่าซื้อมาจากที่ไหน เราว่าเค้าเองก็คงตกใจพอดู พอได้ความเรากะเซี๊ยะพุ่งตัวไปหา target อย่างรวดเร็วเพราะว่าใกล้ถึงเวลาที่รถจะมาแล้ว ให้พี่วัฒน์ไปรอที่ท่าก่อน กาแฟแอบแพง Grande ตั้ง 440Y แหน่ะ คิดเป็นเงินไทยตอนนั้นก็ 176 บาทถ้วน จากนั้นก็ไปรอขึ้นรถ Limousine อ่าชื่อเหมือนดูดี แต่อันที่จริงก็เป็นนรถบัสสีส้มหน้าตาแบบนี้อ่ะ http://www.limousinebus.co.jp/e/ ลิ้งค์เอาไว้เผื่อใครไปเที่ยว



ซักพักรถก็มา แต่กว่าจะไปถึงโรงแรมก็เย็น 6 โมงกว่า ที่ช้าเพราะรถติดมาก คุณคนขับรถเลยต้องเปลี่ยนเส้นทาง ขับอ้อมพาเราไปผ่าน Disney Land กะ Disney Sea อ่ะ ถึงแม้ผ่านรั้วก็ยังดีล่ะว้า ดีใจ

ที่โรงแรมมียุ่นรออยู่แล้ว ตอน check-in นี่ค่อนข้างลำบากนิดหน่อย เพราะเค้าไม่ค่อยพูดภาษาอังกฤษเลย ดีนะที่ยุ่นพูดญี่ปุ่นคล่องสมชื่อเลยพาเรา check-in ได้ตลอดรอดฝั่ง.. พอเข้าห้องพักถึงกับตกใจ ห้องมันเล็กมากๆๆๆ ราคาคืนนึงตั้ง 10000Y อ่ะ เข้าไปแค่คนเดียวก็เกือบเต็มแล้ว ทางเดินก็แคบ...สมราคาชินจูกุเจงๆ มีรูปให้ดูด้วย




ทางเดินในห้องกับเตียงนอนส่วนช่องสี่เหลี่ยมเหนือเตียงคือหน้าต่างอ่ะ เล็กม่ะ


แต่ถึงโรงแรมราคาจะค่อนข้างสูงแต่ก็ถือว่าสมเหตุสมผลในย่านธุรกิจแบบชินจูกุแล้วแหละ แถมยังมีทางเดินใต้ดินไปถึงสถานีชินจูกุเลย เผื่อเวลาพายุเข้าหรือหนาวจัด ใครสนใจลองเข้าไปดูที่เวบตามข้างล่างล่ะกัน จะเห็นภายนอกที่ดูงดงาม หรูหรา น่าอยู่ http://www.shinjyuku-wh.com/index2.html



ไปถึงนี่ตื่นตาตื่นใจมาก ไปเดิน Bic, Yodobashi, Sakuraya กันอย่างบ้าคลั่ง มื้อแรกกินหมูทอด ทงคัตสึ แถวคาบูกิโจ อร่อยดี ยัมมี่ๆๆ สิ้นสุดวันโดยการโทรศัพท์กลับบ้าน แล้วก็ซื้อเสบียงตุนไว้จาก Family mart ใต้โรงแรม


Tips: การโทรศัพท์กลับเมืองไทยมีบัตรขายอยู่มากมายหลายเจ้า ราคาแตกต่างกันไปบ้างขอแนะนำยี่ห้อ Brastel ราคาค่อนข้างถูกเมื่อเทียบกับยี่ห้ออื่นๆ รายละเอียดตามไปที่ลิ้งค์โลด http://www.brastel.com/Pages/eng/Home/


เฮ้อ..หมดไป 1 วัน แค่เพียงแป๊ปเดียวที่เรามาถึง สิ่งนึงที่สังเกตได้คือคนที่นี่เค้าสูบบุหรี่จัดมากกกก เดินตามท้องถนนนี่มีกลิ่นควันบุหรี่ฟุ้งไปหมดเลย แถมตรงทางม้าลายอ่ะ มีก้นบุหรี่เยอะมากกก แล้วเค้าสูบจัดกันทั้งผู้ชายแล้วก็ผู้หญิง ไม่จำกัดเพศ ตามริมถนนมีตู้ขายบุหรี่แบบ vending machine เพียบ มีพอๆกับตู้ขายน้ำเลย


[SKE48] ซิงเกิ้ลที่ 32 ซิงใหม่ของ SKE48 Ai no Hologram

ขอโปรโมทซิงใหม่ของ SKE48 หน่อยจ้า ส่วนตัวถึงแม้จะติดตามวงมาไม่นาน รู้สึกชอบวงนี้มาก เต้นสวย เต้นแข็งแรง มีสเตจใหม่ครบ 3 ทีม มีความเพิร์ฟดีมา...